ตกขาวแบบต่างๆ บ่งบอกถึงสาเหตุอะไรบ้าง
ความแตกต่างของตกขาวปกติและตกขาวผิดปกติ
ตกขาวปกติหรือตกขาว ธรรมดาจะขึ้นอยู่กับปริมาณของฮอร์โมนเพศหญิงที่เปลี่ยนแปลงตามรอบประจำเดือน โดยปกติจะไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่ก่อให้เกิดอาการคัน และไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย อย่างเช่นมีไข้ ปวดท้อง หรือขัดเบา ซึ่งจะมีปริมาณเล็กน้อยเพื่อให้ภายในช่องคลอดมีความชุ่มชื้น และอาจจะมีกลิ่นเล็กน้อยตามลักษณะกลิ่นตัวของแต่ละคน
ตกขาวผิดปกติ จะทำให้ผู้หญิงมีปริมาณ ตกขาว มากขึ้นผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด โดยมีลักษณะ สี และกลิ่นที่เปลี่ยนไปจากเดิม จากปกติที่มีความใสไม่มีสีก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ข้นเป็นก้อน เป็นมูกเลือด มีหนอง มีฟองปนออกมาจำนวนมาก หรือมีกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเน่า อีกทั้งยังมีอาการคันและปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณปากช่องคลอด รวมถึงมีไข้ รู้สึกปวดท้องน้อย ขัดเบา และมีอาการเจ็บเวลาที่มีเพศสัมพันธ์
สีของตกขาวบอกถึงอะไร
1. ตกขาวเป็นน้ำหรือเมือกใส เป็นอาการปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะในช่วงกึ่งกลางของรอบเดือนที่มีการตกไข่ จะมีปริมาณตกขาวมากเป็นของเหลวใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่คัน แต่ถ้ามีอาการตกขาวเป็นน้ำและไหลเป็นฟอง รวมถึงมีอาการคันร่วมด้วย อาจจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรืออาการอักเสบภายในช่องคลอดก็ได้
2. ตกขาวเป็นก้อนสีขาว เกิดจากการติดเชื้อราที่มีชื่อว่า Candida albicans ส่งผลให้ตกขาวมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวข้นหรือสีเหลืองขาวคล้ายนมบูด มีกลิ่นเหม็นแต่ไม่คาว จึงทำให้ปัสสาวะแสบขัดหรือรู้สึกแสบคันในบางครั้ง ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือใช้ยาปฏิกิริยาเป็นเวลานานๆ
3. ตกขาวสีเหลือง สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุดังนี้
3.1 การติดเชื้อไวรัส เป็นตกขาวที่มีสีเหลืองและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ เกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อย่างเช่นเชื้อไวรัสจากโรคเริม ทำให้มีตุ่มน้ำใสๆ ขนาดเล็กและจะแตกออกกลายเป็นแผลที่รู้สึกแสบคัน
3.2 การติดเชื้อแบคทีเรีย จุดเด่นที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ตกขาวมีกลิ่นคาวปลาและอาจมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์
3.3 การติดเชื้อรา เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับตกขาวที่เป็นก้อนสีขาว นั่นก็คือเชื้อรา Candida albicans
3.4 การติดเชื้อหนองใน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “ไนซีเรียโกโนเรียอี” จึงทำให้มีปริมาณตกขาวมากขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นหนองสีเหลืองหรืออาจจะมีสีเขียวปน ส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นแต่ไม่คัน อีกทั้งยังทำให้มีอาการปวดแสบขณะปัสสาวะได้
3.5 การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ส่วนใหญ่มักจะทำให้ตกขาวมีสีเขียว แต่ในบางครั้งก็ทำให้เป็นสีเหลืองได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีสาเหตุอื่นๆ อย่างเช่นการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Chlamydia อาการปากมดลูกอักเสบ หรือช่องคลอดอักเสบ แต่ก็พบได้ไม่บ่อยเท่าสาเหตุอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
4. ตกขาวสีเขียว เป็นตกขาวที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิในช่องคลอดประเภทโปรโตซัวที่มีชื่อว่า “ทริโคโมแนส วาจินาลิส” ซึ่งมักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวชนิดนี้จะทำให้มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เป็นฟอง มีอาการคันและแสบแดงที่บริเวณอวัยวะเพศ ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปัสสาวะขัดและมีตกขาวมากผิดปกติ นอกจากนี้แบคทีเรียบางชนิดยังสามารถทำให้ตกขาวมีสีเขียวได้ แต่จะไม่มีอาการคันและไม่มีกลิ่น ซึ่งอาจจะเป็นตกขาวปกติที่ไม่ต้องรักษา
5. ตกขาวสีเทา เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Bacterial vaginosis ซึ่งทำให้มีปริมาณตกขาวเพิ่มมากขึ้น โดยมีสีขาวปรเทาอ่อน และมีกลิ่นเหม็นคล้ายกับกลิ่นปลาเค็ม อีกทั้งมักจะมีกลิ่นรุนแรงหลังหมดประจำเดือนใหม่ๆ หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงยังสอดคล้องกับปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคอย่างเช่นการคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย การสวนล้างช่องคลอด การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และการรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เป็นต้น
6. ตกขาวสีน้ำตาล เป็นตกขาวที่อาจเกิดจากเลือดออกผิดปกติปนออกมากับตกขาว อย่างเช่นอาการเลือดออกจากการตกไข่ที่มักเกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ หลังจากที่มีประจำเดือนวันแรก โดยอาจจะมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ อาการเลือดออกจากประจำเดือนที่มาช้าหรือมาไม่ตรงรอบ อาการเลือดออกที่เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 หลังจากที่มีประจำเดือนวันแรก แต่ไม่มีอาการปวดท้อง มีลักษณะเป็นเลือดสีน้ำตาลที่ปริมาณไม่มากนัก นอกจากนี้เลือดออกจากการตั้งครรภ์นอกมดลูกก็อาจจะทำให้มีอาการเลือดออกกระปริบกระปรอย และมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย รวมถึงอาจเกิดจากการติดเชื้อที่ช่องคลอดหรือปากมดลูก จึงทำให้ตกขาวมีกลิ่นเหม็นและมีสีน้ำตาลปนจากเลือดเก่า
7. ตกขาวสีชมพู พบได้มากในหญิงหลังคลอด ซึ่งเกิดจากการลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก หรืออาจจะเป็นสีของเลือดที่เรียกว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก” ที่เป็นสีชมพูจางๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น