โรค GBS กิลแลง บาร์เร ซินโดรม อาการเฉียบพลันอันตราย อาจเริ่มต้นได้จากไข้หวัดใหญ่
Guillain Barre syndrome (GBS) คืออะไร ?
Guillain Barre syndrome เป็นกลุ่มอาการที่ตั้งชื่อตามแพทย์ชาวฝรั่งเศส 2 คน ที่วินิจฉัยโรคนี้ได้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1916 (พ.ศ. 2459) จัดเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดกับระบบปลายประสาท โดยมีภาวะอักเสบหรือติดเชื้อเฉียบพลันที่ปลอกหุ้มของเส้นประสาทหลาย ๆ เส้นพร้อมกัน จนก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน และหากอาการรุนแรงมาก ผู้ป่วยอาจตกอยู่ในสภาวะอัมพาต ระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายทยอยล้มเหลวไปทีละส่วน และสุดท้ายอาจเสียชีวิตลงในที่สุด
Guillain Barre syndrome เกิดจากอะไรกันแน่
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด GBS ขึ้นก็มาจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ คือแทนที่จะทำลายสิ่งแปลกปลอมซึ่งหมายถึงเหล่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ก็กลับมาทำลายปลอกหุ้มประสาทในร่างกายแทน ดังนั้นระบบการทำงานหรืออวัยวะส่วนใดที่เชื่อมโยงกับปลอกหุ้มประสาทที่ถูกทำลาย ก็จะเกิดภาวะสูญเสียการทำงานไปนั่นเอง
ทว่าการที่ภูมิคุ้มกันจะมาทำลายปลอกประสาทของตัวเองได้ ย่อมต้องพบการติดเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสก่อน ซึ่งจะพบว่าประมาณ 50% ของผู้ป่วย GBS มีประวัติติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียไข้หวัดใหญ่มาก่อน โดยมักมีอาการ GBS ปรากฏขึ้นหลังจากติดเชื้อเหล่านั้นประมาณ 3 สัปดาห์
นอกจากนี้โรค Guillain Barre syndrome อาจเกิดจากการได้รับวัคซีนบางชนิด เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโรคหัด การผ่าตัด ภาวะเครียด และอาจเกิดร่วมกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้บ้าง
Guillain Barre syndrome ใครเสี่ยงบ้าง ?
กลุ่มอาการ GBS สามารถพบได้ในทุกเชื้อชาติ ทุกเพศ ทุกวัย แต่พบได้น้อยในเด็กอ่อน โดยอัตราการเกิดโรคอยู่ที่ประมาณ 1-3 รายต่อประชากร 1 แสนคนต่อปี และอัตราการเกิดโรคพบได้สูงสุดใน 2 ช่วงอายุ ซึ่งได้แก่ กลุ่มคนอายุราว ๆ 15-35 ปี และช่วงอายุระหว่าง 50-75 ปี นอกจากนี้ยังพบการเกิดโรคในเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 1.5 เท่า
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด GBS ขึ้นก็มาจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ คือแทนที่จะทำลายสิ่งแปลกปลอมซึ่งหมายถึงเหล่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ก็กลับมาทำลายปลอกหุ้มประสาทในร่างกายแทน ดังนั้นระบบการทำงานหรืออวัยวะส่วนใดที่เชื่อมโยงกับปลอกหุ้มประสาทที่ถูกทำลาย ก็จะเกิดภาวะสูญเสียการทำงานไปนั่นเอง
ทว่าการที่ภูมิคุ้มกันจะมาทำลายปลอกประสาทของตัวเองได้ ย่อมต้องพบการติดเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสก่อน ซึ่งจะพบว่าประมาณ 50% ของผู้ป่วย GBS มีประวัติติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียไข้หวัดใหญ่มาก่อน โดยมักมีอาการ GBS ปรากฏขึ้นหลังจากติดเชื้อเหล่านั้นประมาณ 3 สัปดาห์
นอกจากนี้โรค Guillain Barre syndrome อาจเกิดจากการได้รับวัคซีนบางชนิด เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโรคหัด การผ่าตัด ภาวะเครียด และอาจเกิดร่วมกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้บ้าง
Guillain Barre syndrome ใครเสี่ยงบ้าง ?
กลุ่มอาการ GBS สามารถพบได้ในทุกเชื้อชาติ ทุกเพศ ทุกวัย แต่พบได้น้อยในเด็กอ่อน โดยอัตราการเกิดโรคอยู่ที่ประมาณ 1-3 รายต่อประชากร 1 แสนคนต่อปี และอัตราการเกิดโรคพบได้สูงสุดใน 2 ช่วงอายุ ซึ่งได้แก่ กลุ่มคนอายุราว ๆ 15-35 ปี และช่วงอายุระหว่าง 50-75 ปี นอกจากนี้ยังพบการเกิดโรคในเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 1.5 เท่า
โรค GBS อาการเป็นอย่างไร
นอกจากอาการของไข้หวัด เช่น ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล มีเสมหะ มีไข้ ท้องเสีย ปวดท้องแล้ว ผู้ป่วยที่ต้องสงสัยจะมีอาการของโรค Guillain Barre syndrome ควรต้องพิจารณาจากอาการเหล่านี้ด้วย โดยมักจะมีอาการปรากฏในช่วงระยะเวลา 3 สัปดาห์หลังการติดเชื้อไข้หวัดหรือเชื้อแบคทีเรีย
1. ชาหรือรู้สึกชา โดยเฉพาะอาการชาปลายมือ ปลายเท้า บางครั้งลามมาถึงข้อมือ ทั้งนี้อาการชามักจะเกิดจากปลายเท้าก่อนลามมายังปลายมือทั้งสองข้าง
2. น้ำลายยืด กลืนลำบาก หรือเคี้ยวอาหารไม่ได้
3. รู้สึกปวดกล้ามเนื้อมัดที่อ่อนแรง หรืออาจเคลื่อนไหวดวงตา กล้ามเนื้อใบหน้า กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ อย่างกล้ามเนื้อแขนและขาไม่ได้ กลายเป็นอัมพาต ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเส้นประสาทกล้ามเนื้อมัดใดอักเสบหรือเสื่อม ก็จะสูญเสียการทำงานในส่วนนั้น ๆ
4. ปวดหลัง
5. ความดันโลหิตต่ำหรือสูงกว่าปกติ
6. ท้องผูกขั้นหนัก ปัสสาวะลำบากหรือไม่ออกเลย เนื่องจากล้ามเนื้อที่ควบคุมไตและกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน
7. สูญเสียความรู้สึกเจ็บปวด และไม่รับรู้ถึงอุณหภูมิ (Areflexia)
8. อาจเกิดภาวะปอดบวม ปอดติดเชื้อ
9. หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ จนส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
10. เริ่มหายใจลำบาก ต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากเส้นประสาทกล้ามเนื้อซี่โครง หรือกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้หายใจเสื่อม ดังนั้นผู้ป่วยอาจมีภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด
นอกจากอาการของไข้หวัด เช่น ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล มีเสมหะ มีไข้ ท้องเสีย ปวดท้องแล้ว ผู้ป่วยที่ต้องสงสัยจะมีอาการของโรค Guillain Barre syndrome ควรต้องพิจารณาจากอาการเหล่านี้ด้วย โดยมักจะมีอาการปรากฏในช่วงระยะเวลา 3 สัปดาห์หลังการติดเชื้อไข้หวัดหรือเชื้อแบคทีเรีย
1. ชาหรือรู้สึกชา โดยเฉพาะอาการชาปลายมือ ปลายเท้า บางครั้งลามมาถึงข้อมือ ทั้งนี้อาการชามักจะเกิดจากปลายเท้าก่อนลามมายังปลายมือทั้งสองข้าง
2. น้ำลายยืด กลืนลำบาก หรือเคี้ยวอาหารไม่ได้
3. รู้สึกปวดกล้ามเนื้อมัดที่อ่อนแรง หรืออาจเคลื่อนไหวดวงตา กล้ามเนื้อใบหน้า กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ อย่างกล้ามเนื้อแขนและขาไม่ได้ กลายเป็นอัมพาต ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเส้นประสาทกล้ามเนื้อมัดใดอักเสบหรือเสื่อม ก็จะสูญเสียการทำงานในส่วนนั้น ๆ
4. ปวดหลัง
5. ความดันโลหิตต่ำหรือสูงกว่าปกติ
6. ท้องผูกขั้นหนัก ปัสสาวะลำบากหรือไม่ออกเลย เนื่องจากล้ามเนื้อที่ควบคุมไตและกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน
7. สูญเสียความรู้สึกเจ็บปวด และไม่รับรู้ถึงอุณหภูมิ (Areflexia)
8. อาจเกิดภาวะปอดบวม ปอดติดเชื้อ
9. หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ จนส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
10. เริ่มหายใจลำบาก ต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากเส้นประสาทกล้ามเนื้อซี่โครง หรือกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้หายใจเสื่อม ดังนั้นผู้ป่วยอาจมีภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด
การวินิจฉัยโรค GBS
การวินิจฉัยโรค Guillain Barre syndrome แพทย์จะวิเคราะห์จากประวัติอาการป่วยของคนไข้ ร่วมกับการตรวจน้ำไขสันหลัง หากพบโปรตีนสูงแต่เซลล์เม็ดเลือดไม่สูงตาม แพทย์อาจวินิจฉัยต่อด้วยการทดสอบคลื่นไฟฟ้าของกล้ามเนื้อเป็นลำดับถัดไป
Guillain Barre syndrome การรักษาทำได้อย่างไรบ้าง
การรักษาโรค GBS ในเบื้องต้นอาจรักษาโรคหรือการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุเป็นอันดับแรกก่อน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤติโดยเร็วที่สุด ร่วมกับการฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมด เช่น ป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลวทางเดินหายใจ ป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดจากภาวะการนอนเป็นเวลานาน ดูแลการขับถ่าย เป็นต้น
โดยหลังจากการรักษา ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำจากนักกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อส่วนที่สูญเสียการทำงานไป รวมไปถึงฟื้นฟูการพูดจาและการใช้ภาษา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรค GBS ควรได้รับการเยียวยาสภาพจิตใจร่วมด้วย เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ป่วยโรค GBS สมองและการรับรู้ของผู้ป่วยยังคงเป็นปกติดี ดังนั้นอาจมีความกลัว ขวัญเสีย และอาการซึมเศร้าติดมาด้วยได้
การวินิจฉัยโรค Guillain Barre syndrome แพทย์จะวิเคราะห์จากประวัติอาการป่วยของคนไข้ ร่วมกับการตรวจน้ำไขสันหลัง หากพบโปรตีนสูงแต่เซลล์เม็ดเลือดไม่สูงตาม แพทย์อาจวินิจฉัยต่อด้วยการทดสอบคลื่นไฟฟ้าของกล้ามเนื้อเป็นลำดับถัดไป
Guillain Barre syndrome การรักษาทำได้อย่างไรบ้าง
การรักษาโรค GBS ในเบื้องต้นอาจรักษาโรคหรือการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุเป็นอันดับแรกก่อน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤติโดยเร็วที่สุด ร่วมกับการฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมด เช่น ป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลวทางเดินหายใจ ป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดจากภาวะการนอนเป็นเวลานาน ดูแลการขับถ่าย เป็นต้น
โดยหลังจากการรักษา ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำจากนักกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อส่วนที่สูญเสียการทำงานไป รวมไปถึงฟื้นฟูการพูดจาและการใช้ภาษา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรค GBS ควรได้รับการเยียวยาสภาพจิตใจร่วมด้วย เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ป่วยโรค GBS สมองและการรับรู้ของผู้ป่วยยังคงเป็นปกติดี ดังนั้นอาจมีความกลัว ขวัญเสีย และอาการซึมเศร้าติดมาด้วยได้
การป้องกันตัวเองจากโรค GBS
แม้จะยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดถึงสาเหตุของโรค Guillain Barre syndrome แต่จาก 50% ของผู้ป่วยมักจะมีการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจและเชื้อแบคทีเรียมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่เราพอทำได้ก็คือการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวให้ได้มากที่สุด ดังนี้
1. รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
2. รับประทานอาหารสดใหม่ ยึดถือหลักกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
3. ดื่มน้ำสะอาด หากจะบริโภคน้ำแข็ง ควรเลือกน้ำแข็งที่ได้มาตรฐานในการผลิต
4. พยายามสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในที่ชุมชน หรือพื้นที่ที่มีโรคทางเดินระบบหายใจ และการติดเชื้อระบาดอยู่
หากสงสัยว่าตัวเองอาจมีความเสี่ยงเป็นโรค GBS อยู่ ก็อย่าเพิ่งตกใจกลัวกันเกินไปนะคะ เพราะโรคนี้หากตรวจพบเนิ่น ๆ ก็รักษาให้หายได้ สำคัญแค่ว่าเราควรสำรวจความผิดปกติของร่างกาย และไปพบแพทย์เมื่อมีอาการไม่สบายเกิดขึ้นให้ทันท่วงทีเท่านั้น
แม้จะยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดถึงสาเหตุของโรค Guillain Barre syndrome แต่จาก 50% ของผู้ป่วยมักจะมีการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจและเชื้อแบคทีเรียมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่เราพอทำได้ก็คือการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวให้ได้มากที่สุด ดังนี้
1. รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
2. รับประทานอาหารสดใหม่ ยึดถือหลักกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
3. ดื่มน้ำสะอาด หากจะบริโภคน้ำแข็ง ควรเลือกน้ำแข็งที่ได้มาตรฐานในการผลิต
4. พยายามสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในที่ชุมชน หรือพื้นที่ที่มีโรคทางเดินระบบหายใจ และการติดเชื้อระบาดอยู่
หากสงสัยว่าตัวเองอาจมีความเสี่ยงเป็นโรค GBS อยู่ ก็อย่าเพิ่งตกใจกลัวกันเกินไปนะคะ เพราะโรคนี้หากตรวจพบเนิ่น ๆ ก็รักษาให้หายได้ สำคัญแค่ว่าเราควรสำรวจความผิดปกติของร่างกาย และไปพบแพทย์เมื่อมีอาการไม่สบายเกิดขึ้นให้ทันท่วงทีเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น