โรคกลัวที่แคบ ใจสั่น อึดอัด เกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อรู้สึกโดนกักล้อม


  



 Claustrophobia หรือโรคกลัวที่แคบ โรคกลัวสถานการณ์หรือภาวะที่ตัวผู้ป่วยเหมือนถูกกักล้อมอยู่ในที่แคบ ๆ จนก่อให้เกิดอาการอึดอัด ใจสั่น เหงื่อซึม หรือบางรายอาจมีความกลัวหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยก็มี ซึ่งอาการทางจิตกับความกลัวที่แคบอย่างนี้จะร้ายแรงขนาดไหน มีวิธีป้องกันและรักษาอาการกลัวที่แคบยังไง หรือลองมาเช็กอาการในเบื้องต้นกันก่อนก็ได้ว่าตัวเราเข้าข่ายเป็นโรคกลัวที่แคบหรือเปล่า

โรคกลัวที่แคบ Claustrophobia คืออะไร 


          โรคกลัวที่แคบ คือ กลุ่มอาการวิตกกังวลผิดปกติจนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกว่าหนีไม่ได้ ถูกกักล้อมในที่แคบ ๆ หรือต้องอยู่คนเดียวในช่องเล็ก ๆ ทุกอย่างดูประชิดตัว เช่น เมื่อต้องอยู่ภายในลิฟต์โดยสารที่มีคนหนาแน่น ต้องอยู่ในห้องขนาดเล็กที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่าง หรือตกอยู่ในที่นั่งด้านในสุดของเครื่องบิน โดยมีผู้โดยสารคนอื่น ๆ ล้อมรอบตัวอยู่ หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการกลัวเกิดขึ้นได้เมื่อต้องสวมชุดที่รัดแน่นจนเกินไป เป็นต้น
    
          โดยจากสถิติผู้ป่วยโรคกลัวที่แคบของ NYU Langone Medical Center บันทึกให้เห็นว่า โรคกลัวที่แคบอาจไม่ใช่โรคที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด แต่อาจเริ่มเป็นในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่

โรคกลัวที่แคบ อาการและสัญญาณบอกโรค

          อาการของโรคกลัวที่แคบในผู้ป่วยแต่ละรายอาจแสดงออกต่าง ๆ กันไป โดยสามารถไล่เรียงอาการของโรคกลัวที่แคบได้ดังต่อไปนี้

    
          - เหงื่อออกมาก
          - ใจสั่น หัวใจเต้นแรง
          - ความดันโลหิตพุ่งพรวด
          - เวียนหัว
          - ปากแห้ง
          - หายใจไม่ทัน หายใจไม่ทั่วท้อง (ไฮเปอร์)
          - ร้อนวูบวาบ
          - ตัวสั่น
          - ปั่นป่วนในท้อง
          - กลัวจนคุมสติไม่อยู่ รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
          - คลี่นไส้ อาเจียน
          - หน้ามืด เป็นลม
          - ปวดศีรษะ
          - ช็อก
          - แน่นหน้าอก หรือบางคนอาจรู้สึกเจ็บหน้าอก
          - รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำเฉียบพลัน บางรายอาจมีปัสสาวะราด 
          - เลอะเลือน ขาดสติ

โรคกลัวที่แคบ สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง ?




          โดยปกติแล้วโรคกลัวที่แคบมักจะมีสาเหตุจากประสบการณ์เลวร้ายอันเกี่ยวกับที่แคบที่เกิดขึ้นตอนยังเป็นเด็ก ซึ่งฝังใจผู้ป่วยให้รู้สึกกลัว คิดว่าที่แคบนั้นมีอันตรายนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนกระทั่งกลัวฝังใจมาจนถึงตอนโต เช่น เคยเกือบจมน้ำในสระว่ายน้ำ พลัดหลงจากผู้ปกครองในสถานที่ที่มีคนแออัด หรือเล่นซนในท่อ หรือหลุมอะไรสักอย่าง แล้วติดอยู่ในนั้นเป็นเวลาหนึ่ง เป็นต้น
    
          ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกลัวจับใจ จนสมองจดจำว่าสิ่งที่เล็ก ๆ แคบ ๆ นั้นอันตราย หากกลับไปเข้าอีกจะทำให้รู้สึกกลัวอย่างที่เคยเป็นมา จนแม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และรู้ว่าที่แคบไม่อันตรายขนาดนั้น แต่จิตใต้สำนึกก็จะสั่งให้รู้สึกกลัวอย่างไม่มีเหตุผลอยู่นั่นเอง และนอกจากนี้ความกลัวที่แคบยังอาจเกิดได้จากพฤติกรรมเลียนแบบ จากการที่ผู้ปกครองหรือคนใกล้ตัวกลัวที่แคบด้วยนะคะ
    
          ทั้งนี้ยังมีการศึกษาทางการแพทย์ที่ถูกตีพิมพ์ใน Psychiatry and Clinical Neurosciences พบว่า อาการโฟเบียหรืออาการกลัวต่าง ๆ อ่านมีเบื้องหลังอยู่ที่ความผิดปกติของสมอง อันได้แก่

อมิกดาลามีขนาดเล็กเกินไป
    
          Fumi Hayano และทีมนักวิจัยพบว่า ภายในสมองของผู้ป่วยโรคกลัวที่แคบและโรคกลัวประเภทอื่น ๆ มักจะมีขนาดอมิกดาลา หรือต่อมเล็ก ๆ ใต้สมองที่มีไว้ควบคุมเหตุผลและอารมณ์ รวมถึงการแสดงออกของร่างกายกับความรู้สึกแบบต่าง ๆ ที่เล็กกว่าปกติ ซึ่งปัจจัยนี้อาจทำให้ร่างกายจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกกลัวได้ไม่เต็มประสิทธิภาพมากนัก จนเกิดเป็นโรคโฟเบียต่าง ๆ ได้

ยีนความพร้อมที่จะกลัว
    
          การศึกษาพบว่าในบางรายมีอาการกลัวอันฝังรากลึกมาจากยีนในร่างกาย โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ถูกฝึกให้มีความระแวดระวังตลอดเวลา หรือเรียกง่าย ๆ ว่ามีสัญชาติญาณในการเอาชีวิตรอดค่อนข้างสูง ซึ่งความกลัวของคนเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นช่วงเวลาหนึ่ง และอาจหายเป็นปกติได้เองเมื่อเวลาผ่านไป

โรคกลัวที่แคบ จะเกิดอาการกลัวต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์ไหน ?

          นอกจากพื้นที่เล็กแคบแล้ว ความกลัวนี้อาจเกิดได้จากความรู้สึกแออัด สับสน เมื่อต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย หรือเมื่อรู้สึกอากาศหายใจในที่นั้น ๆ มีน้อย อาการกลัวก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่ในเบื้องต้นเราอาจสังเกตความกลัวของเราได้จากอาการและความกลัวเมื่อต้องอยู่ในที่เหล่านี้

          - ลิฟต์โดยสาร
          - ห้างสรรพสินค้าหรือที่ที่คุ้นเคยที่ถูกจัดแต่งใหม่ เปลี่ยนแปลงไป
          - อุโมงค์
          - ห้องใต้ดิน
          - รถไฟใต้ดิน
          - ห้องขนาดเล็ก แคบ
          - ห้องพักที่ไม่มีหน้าต่าง หรือหน้าต่างไม่สามารถเปิดได้
          - ประตูหมุน
          - เครื่องบิน
          - ห้องน้ำสาธารณะ
          - ห้องที่ถูกล็อก
          - รถยนต์ที่มีระบบล็อกประตูอัตโนมัติ
          - ตู้รถไฟ
          - ชุมชนที่มีคนแออัด/สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คน
          - อุโมงค์ล้างรถอัตโนมัติ
          - เครื่องสแกน MRI 
การวินิจฉัยโรคกลัวที่แคบ

          หากต้องการเช็กให้ชัวร์ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคกลัวที่แคบหรือเปล่า แนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์ ซึ่งจิตแพทย์จะวินิจฉัยอาการป่วยจากอาการผิดปกติที่ผู้ป่วยเป็น อาจสอบถามรายละเอียดของอาการกลัวนั้น ๆ และวิเคราะห์จากสิ่งหรือสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกกลัว
    
          ทั้งนี้จิตแพทย์จะนำแบบทดสอบทางจิตวิทยาให้ทำเพื่อคัดแยกอาการ และวัดระดับความกลัวในเบื้องต้นก่อน

 การรักษาโรคกลัวที่แคบ
    
          หลังจากวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยเป็นโรคกลัวที่แคบจริง จิตแพทย์จะต้องประเมินความรุนแรงของอาการ เพื่อเลือกแนวทางรักษาโรคกลัวที่แคบ ซึ่งมีวิธีรักษาดังต่อไปนี้

- ความคิดและพฤติกรรมบำบัด (Cognitive Behavioral Therapy)
    
          วิธีรักษาด้วยความคิดและพฤติกรรมบำบัด หรือ CBT เป็นแนวทางการรักษาโรคกลัวที่แคบด้วยการให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจความกลัวของตัวเอง ค่อย ๆ ปรับทัศนคติที่ผู้ป่วยมีต่อที่แคบอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเขาถึงความกลัวของตัวเองและเข้าใจจนหายกลัวสิ่งนั้น ๆ 

- การรักษาด้วยยา
    
          การรักษาด้วยยาจะเน้นไปที่การบำบัดความวิตกกังวล ลดความเครียดเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่รู้สึกกลัว แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจิตแพทย์จะใช้วิธีนี้ก็ต่อเมื่อใช้วิธีบำบัดด้วยความคิดไม่ค่อยได้ผล รวมไปถึงต้องดูความเหมาะของผู้ป่วยด้วย

- การผ่อนคลาย 
    
          ในบางเคสที่ความรุนแรงของอาการไม่มาก อาจบำบัดได้ด้วยการผ่อนคลายร่างกายและสมอง โดยการฝึกหายใจลึก ๆ หรือบริหารกล้ามเนื้อร่างกาย เพื่อลดความวิตกกังวลและความเครียดเมื่อรู้สึกกลัว

          อย่างไรก็ตาม โรคกลัวที่แคบไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างใด ทว่าอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นหากรู้สึกว่าตัวเองกลัวที่แคบ ก็ลองเข้าไปปรึกษาจิตแพทย์ดูดีกว่านะคะ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม